rootEnginear's Blog
  • 🦄Howdy!
  • เรื่องที่ฉันเรียนในมหาวิทยาลัย
    • 📊Statistic for Engineers
      • [STA1] Experiment, Sample Space, Event
      • [STA2] Fundamental Counting Principle
      • [STA3] Permutation, Combination
      • [STA4] Probability
      • [STA5] Properties of Probability
    • ⚛️Quantum Programming and Computing
      • [QPC1] Quantum Overview
      • [QPC2] Basic Components of Computation
    • 🕹️Human Computer Interaction
      • [HCI1] Human
      • [HCI2] Computer
      • [HCI3] Interaction
      • [HCI4] The Basics of Interaction Design
      • [HCI5] Design Rules & Principles
      • [HCI6] Error & Error Handling
      • [HCI7] 7 Principles of Universal Design
      • [HCI8] Storyboard
      • [HCI9] Representations and Information Visualization
      • [HCI10] Gestalt Theory and Use of Colors
      • [HCI11] Prototyping
      • [HCI12] UX Writing
  • Quantum Computing
    • 🛸อยากรู้พื้นฐาน Quantum Computing? งั้นก็ลองสร้างมันขึ้นมาสิ!
  • โน้ตดนตรี
    • 🎹ดึงดัน — Cocktail X ตั๊ก ศิริพร
  • Contacts
    • Portfolio
    • GitHub
    • LinkedIn
Powered by GitBook
On this page
  • ความน่าจะเป็นโดยอาศัยตัวแบบของการทดลอง (Experimental Model)
  • ความน่าจะเป็นโดยอาศัยผลจากการทดลอง (Empirical Approach)
  • สรุปเนื้อหา

Was this helpful?

  1. เรื่องที่ฉันเรียนในมหาวิทยาลัย
  2. Statistic for Engineers

[STA4] Probability

ความน่าจะเป็น

ความน่าจะเป็นเนี่ย มันเป็นตัวเลขที่เอาไว้บอกโอกาสการเกิดของเหตุการณ์ที่เราตั้งขึ้นมา

เราเองก็น่าจะคุ้นชินกันมาแล้วแบบ "แก เรียนกับอาจารย์คนเนี้ยผ่านไม่ผ่านครึ่งๆ เลยนะ" หรืออาจจะแบบ "ชีวิตนี้ฉันคงจะหาแฟนไม่ได้แล้ว 😭"

แน่นอนว่า Statement พวกนี้เป็นการบ่งบอกถึงโอกาสการเกิด แต่ไม่ได้บอกนะว่ามันจะเกิดขึ้นจริงๆ กับผู้พูดหรือผู้รับสารเอง (ยกเว้นจะคำนวณออกมาแล้วได้ 0% หรือ 100% เอออันนี้ถึงจะไม่มีวันเกิดได้หรือเกิดขึ้นแน่ๆ) ดังนั้นเวลาได้ยินใครเอา Statement แนวๆ นี้มาพูดใส่ ก็อย่าลืมใช้วิจารณญาณและสติของตัวเองในการพิจารณากันด้วยนะ (เช่น นักศึกษาครึ่งหนึ่งอาจจะไม่ตั้งใจเรียนเองก็ได้ หรือ วันนี้หาแฟนไม่ได้ พรุ่งนี้อยู่ดีๆ อาจจะมีคนเข้ามาจีบก็ได้)

หลักๆ แล้วความน่าจะเป็นมันจะมีวิธีการหาอยู่ 2 วิธีก็คือ:

  1. การกำหนดความน่าจะเป็นโดยอาศัยตัวแบบของการทดลอง (Experimental Model)

  2. การกำหนดความน่าจะเป็นโดยอาศัยผลจากการทดลอง (Empirical Approach)

เรามาเริ่มกันที่ตัวแรกกันก่อนเลย นั่นก็คือ…

ความน่าจะเป็นโดยอาศัยตัวแบบของการทดลอง (Experimental Model)

นิยาม: ในการทดลองเชิงสุ่ม ถ้าสามารถเขียน Sample Space ของผลลัพธ์โดยที่แต่ละผลลัพธ์มีโอกาสเกิดขึ้นได้เท่าๆ กัน และ AAA เป็นเหตุการณ์ ความน่าจะเป็นของเหตุการณ์ AAA เขียนแทนด้วย P(A)P(A)P(A) จะได้ว่า

P(A)=n(A)n(S)P(A)=\frac{n(A)}{n(S)}P(A)=n(S)n(A)​

โดยที่:

  • n(A)n(A)n(A) คือจำนวนสมาชิกของเหตุการณ์ AAA

  • n(S)n(S)n(S) คือจำนวนสมาชิกของ Sample Space

หมายเหตุ: จะสังเกตว่าตัวนิยามจะใช้ n(X)n(X)n(X) แทน ∣X∣|X|∣X∣ (เมื่อ XXX เป็นเซต) เพื่อบ่งบอกถึงจำนวนสมาชิกของเซต XXX ซึ่งทั้งสอง notation สามารถใช้ได้เหมือนกัน แต่ในส่วนของผู้เขียนหลังจากนี้จะใช้เป็น n(X)n(X)n(X) เพื่อให้สอดคล้องกับนิยามข้างต้น

วิธีเนี้ยจะเป็นวิธีการที่ใช้ในการออกสอบซะส่วนใหญ่ เพราะว่าวิธีนี้จะใช้วิธีการคำนวณเพียวๆ เลย ซึ่งอย่างที่นิยามบอก เราจะเอาจำนวนสิ่งที่เกิดขึ้นได้ มาหารด้วยจำนวนสิ่งที่เกิดได้ทั้งหมด ดังนั้นด้วยวิธีการนี้ เราจะได้เลขมาเพียวๆ สวยๆ เลย เดี๋ยวลองไปดูตัวอย่างกันดีกว่า

ปัญหา 1: จงหาความน่าจะเป็นที่นักศึกษา 7 คน จะเกิดคนละวันในวันของสัปดาห์

จากโจทย์ ข้อนี้จะมี S เป็น "นักศึกษา 7 คน เกิดวันต่างๆ ได้กี่รูปแบบ" เช่นอาจจะเป็น 'จ-อ-พ-พฤ-ศ-ส-อา' ก็ได้ หรืออาจจะเป็น 'จ-จ-จ-จ-จ-จ-จ' ก็ได้

เมื่อคำนวณออกมาก็จะได้ว่า n(S)=7×7×7×7×7×7×7=77n(S)=7\times7\times7\times7\times7\times7\times7=7^7n(S)=7×7×7×7×7×7×7=77

ต่อมา เราก็กำหนดเหตุการณ์ขึ้นมาแทนสิ่งที่เราสนใจ (ก็คือโจทย์นั่นเอง) ก็คือ "กำหนดให้ A แทนเหตุการณ์ที่นักศึกษา 7 คน เกิดคนละวันในวันของสัปดาห์"

วิธีการคิดคือ ให้คิดว่านักศึกษาคนแรกเลือกมา 1 วันจาก 7 วัน ก็จะเหลือให้คนที่สองเลือก 1 วันจาก 6 วัน ทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งคนสุดท้ายจะเหลือให้เลือก 1 วัน เท่านี้ทั้ง 7 คนก็จะได้วันที่ไม่ซ้ำกันแล้ว

จะได้ว่า n(A)=7×6×5×4×3×2×1=7!n(A)=7\times6\times5\times4\times3\times2\times1=7!n(A)=7×6×5×4×3×2×1=7!

ดังนั้น เราก็จะสามารถคำนวณหาความน่าจะเป็นของเหตุการณ์ A ได้ว่า

P(A)=n(A)n(S)=7!77P(A)=\frac{n(A)}{n(S)}=\frac{7!}{7^7}P(A)=n(S)n(A)​=777!​

ดังนั้น: ความน่าจะเป็นที่นักศึกษา 7 คน จะเกิดคนละวันในวันของสัปดาห์ คือ 7!77\frac{7!}{7^7}777!​

จะเห็นว่า วิธีการนี้ค่อนข้างเหมาะสมกับการคำนวณมากๆ ได้ค่าดูดีมีเหตุผล แต่วิธีการนี้จริงๆ แล้วมีข้อเสียอยู่ 2 ข้อก็คือ:

  1. Sample Space ต้องเป็นเซตจำกัด: เหตุการณ์บางอย่างสามารถมี Sample Space เป็นอนันต์ได้หรือสามารถหา Sample Space ได้ยาก ซึ่งถ้าเราหา Sample Space ไม่ได้ เราก็หาความน่าจะเป็นของมันด้วยวิธีข้างต้นไม่ได้

  2. ผลลัพธ์จากการทดลองแต่ละผลลัพธ์ต้องมีโอกาสเกิดขึ้นได้เท่าๆ กัน: เช่น เราอาจจะบอกได้ว่าลูกเต๋าที่มี 6 หน้า จะมีโอกาสออกแต่ละหน้าเท่าๆ กัน แต่ถ้าสมมติว่าเราใช้ลูกเต๋าบิ่นที่มีหน้าหน้าหนึ่งมีโอกาสออกได้เป็น 2 เท่าของหน้าอื่น เราจะใช้วิธีคิดแบบนี้ไม่ได้

ถ้าเราเจอปัญหาทั้ง 2 ข้อด้านบน เราก็อาจจะต้องปรับวิธีการคำนวณ หรือเราสามารถใช้ได้อีกวิธีนั่นก็คือ…

ความน่าจะเป็นโดยอาศัยผลจากการทดลอง (Empirical Approach)

นิยาม: ในการทดลองเชิงสุ่ม nnn ครั้ง เกิดเหตุการณ์ที่ต้องการ SSS ครั้ง ถ้า nnn มีค่ามากพอ เรากล่าวได้ว่าความน่าจะเป็นที่จะได้เหตุการณ์ที่ต้องการในการทดลองแต่ละครั้งจะมีค่าเป็น p=Snp=\frac{S}{n}p=nS​ และความน่าจะเป็นที่จะได้เหตุการณ์ที่ไม่ต้องการจะเท่ากับ q=n−Snq=\frac{n-S}{n}q=nn−S​

พูดให้ง่ายขึ้นอีก ก็คือ อยากรู้ก็ลองทำดูสิ

ฮะ? ลองทำ? ยังไงหรอ 🤨?

หลักการของวิธีนี้ก็ตามที่บอกเลยคือ เราก็ทดลองไปเรื่อยๆ แล้วจดบันทึก 2 อย่างคือ:

  1. ทำไปแล้วกี่ครั้ง (n)

  2. ได้ตามที่อยากได้แล้วกี่ครั้ง (S)

พอเราบันทึกค่าทั้ง 2 อย่างนี้ได้ ก็เอามาคำนวณด้วยสูตร p=Snp=\frac{S}{n}p=nS​ เราก็จะได้ความน่าจะเป็นออกมา

เอาเป็นว่าเราไปลองดูตัวอย่างง่ายๆ กันดีกว่า

ปัญหา 1: เด็กชายคนหนึ่งอยากรู้ว่าตนเองนั้นเล่นเกมเกมหนึ่งเก่งแค่ไหน จึงทำการทดลองเล่นเกมติดต่อกัน 20 ตา ผลปรากฏว่าเล่นชนะไปทั้งหมด 12 ตา แพ้ 8 ตา เด็กชายคนนี้มีความน่าจะเป็นที่จะเล่นเกมนี้ชนะเป็นเท่าไร?

อ่านโจทย์กันเสร็จแล้วก็น่าจะตอบกันในใจได้เลยใช่มะ? เพราะถ้าเล่น 20 ตา ชนะ 12 ก็แสดงว่ามีความน่าจะเป็นในการชนะ 1220\frac{12}{20}2012​ สิ?

ถูกต้องแล้วจ้า และนั่นก็คือคอนเซปต์ของวิธีการนี้เลย เป็นเพราะเนื่องจากเราไม่รู้ว่า เราจะแพ้ชนะในรูปแบบไหน เราก็เลยทดลองเล่นมันซะเลย

ดังนั้น: เด็กชายคนนี้มีความน่าจะเป็นที่จะเล่นเกมนี้ชนะเป็น 1220=35\frac{12}{20}=\frac{3}{5}2012​=53​

เราน่าจะพอเห็นข้อเสียของวิธีนี้กันเนอะ นั่นก็คือ ค่าที่ได้อาจจะไม่ตรงกับความจริงก็ได้ (เช่น เล่นเกมชนะ 12 ตาเพราะอาจจะเจอทีมฝั่งตรงข้ามเล่นไม่ดีก็ได้) ดังนั้นวิธีนี้ต้องทำการทดลองมากพอที่จะสามารถสรุปได้

ทั้งสองวิธีที่เราได้พูดถึงไปล้วนแล้วเป็นวิธีหาความน่าจะเป็นของเหตุการณ์ต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น เดี๋ยวจะขอตัดเนื้อหาไว้แต่เพียงตรงนี้ก่อน แล้วเดี๋ยว EP หน้าเรามาดูเนื้อหาในเรื่องของสมบัติความน่าจะเป็นกัน เอาเป็นว่า เราไปดูสรุปสำหรับ EP นี้กันเลย

สรุปเนื้อหา

  • ความน่าจะเป็น

    • คือเลขในช่วง [0,1] ที่บอกว่ามีโอกาสการเกิดเหตุการณ์ได้เท่าไร

    • P(A)=n(A)n(S)P(A)=\frac{n(A)}{n(S)}P(A)=n(S)n(A)​ "ความน่าจะเป็นของ A = A เกิดได้กี่แบบ / ทั้งหมดเกิดได้กี่แบบ"

    • ตัวอย่าง: โยนลูกเต๋า 1 ลูก ความน่าจะเป็นที่จะออก 5 หรือ 6 เป็นเท่าไร?

      • วิธีที่ 1: คำนวณจาก Sample Space

        • จะได้ว่า: P(โยนลูกเต๋าออก 5,6)=n({5,6})n({1,2,3,4,5,6})=26=13P(โยนลูกเต๋าออก\ 5, 6)=\frac{n(\{5,6\})}{n(\{1,2,3,4,5,6\})}=\frac{2}{6}=\frac{1}{3}P(โยนลูกเต๋าออก 5,6)=n({1,2,3,4,5,6})n({5,6})​=62​=31​

        • เรียกวิธีนี้ว่า "อาศัยตัวแบบของการทดลอง"

        • ข้อเสีย:

          • S ต้องนับได้ (เพราะเราต้องใช้ S คำนวณ)

          • ผลลัพธ์แต่ละผลลัพธ์ (ของเหตุการณ์) ต้องมีความน่าจะเป็นเท่ากัน (ถ้ามีบางผลลัพธ์เกิดได้มาก/น้อยกว่าตัวอื่น จะต้องปรับการคำนวณหรือใช้วิธีอื่น)

      • วิธีที่ 2: โยนลูกเต๋าไปเรื่อยๆ สัก 1,000 ครั้ง แล้วจดไว้ว่าออกเลข 5 กับ 6 กี่ครั้ง (สมมติว่าโยน 1000 ครั้ง ออกเลข 5 กับ 6 ทั้งหมด 333 ครั้ง)

        • จะได้ว่า: P=Sn=3331000≈13P=\frac{S}{n}=\frac{333}{1000}\approx\frac{1}{3}P=nS​=1000333​≈31​

        • เรียกวิธีนี้ว่า "อาศัยผลจากการทดลอง"

        • ข้อเสีย: ต้องทดลองไปเรื่อยๆ จนจำนวนครั้งมากพอ จึงจะสามารถสรุปได้

Previous[STA3] Permutation, CombinationNext[STA5] Properties of Probability

Last updated 3 years ago

Was this helpful?

📊